ลิขิตชีวิตตนเอง

เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้.

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

AEC (พ.ศ.2558) ประเทศไทย “สมองไหล”


ในปี พ.ศ.2558 หรืออีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า ก็จะเข้ายุค AEC แล้ว บางคนอาจจะคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีการเปิดการค้าเสรี บริการ การลงทุน และแรงงาน วันนี้จะมาพูดถึงในแรงงานเสรีกันดีกว่า!

ในแต่ละประเทศก็จะมีกฎหมายเพื่อเป็นกำแพงกั้น เป็นกฎเกณฑ์ ที่จะให้แรงงานต่างประเทศเข้าไปทำงานได้ แต่ละประเทศจะมีกำแพงหิน หรือกำแพงไม้ มีกฎเกณฑ์ กฎหมายเยอะขนาดไหน ก็แล้วแต่ละประเทศ แต่ประเทศไทยของเราถือได้ว่า ใช้กำแพงหิน การที่แรงงานต่างด้าวจะเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้อย่างเสรีนั้น ยากซักหน่อย

ไทยมีข้อตกลงกับ AEC ว่าแรงงานวิชาชีพ 8 อาชีพดังต่อไปนี้มาทำงานในไทยได้ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี นักสำรวจ และนักท่องเที่ยว แต่ต้องทำตามกฎหมายในประเทศไทย เช่น อาชีพ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล คนต่างชาติจะทำงานวิชาชีพนี้ในไทยได้ต้องมีการทดสอบความรู้ความสามารถโดยใช้ ภาษาไทย เท่านั้น! ส่วนวิชาชีพ วิศวกรและสถาปนิก ก็เช่นเดียวกันใช้ภาษาไทย และต้องมีการร่วมงานกับนักวิชาชีพไทยที่มีใบอนุญาตเท่านั้น ส่วนถ้าต้องการจะประกอบอาชีพนี้เองเลยตามลำพัง ต้องทำตามกฎหมายไทยที่ระบุไว้ว่าต้องได้รับการประเมินโดย สภาวิชาชีพซึ่งใช้ภาษาไทยในการประเมิน
กำหนดกฎเกณฑ์แรงงานวิชาชีพทั้ง 8 แล้ว ยังมี อาชีพสงวนสำหรับคนไทย ซึ่งคนต่างชาติไม่สามารถทำได้อีก 39 อาชีพ รวมทั้งอาชีพ กรรมกร กสิกร ประมง ก่ออิฐ ช่างไม้ ช่างตัดผม ขับขี่รถยนต์ ทำมีด ทำรองเท้า เครื่องถม เครื่องเขิน เจียระไนเพชรพลอย ทำบาตร พระพุทธรูป ฯลฯ อย่างนี้แล้วถ้าจะให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานได้อย่างเสรี ต้องแก้กฎหมายกันอีกเยอะ!
ดังข้างต้นที่กล่าวมาประเทศไทยมีกำแพงหินซึ่งต่างชาติจะเข้ามาทำงานในไทยได้ยาก จึงไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องแรงงานเท่าไร ประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในไทยก็คงไม่อยากกลับประเทศ เพราะประเทศของตนยังล้าหลังกว่าประเทศไทย และถ้าทำงานในไทยจะได้เงินดีกว่า ผมว่าเรื่องแรงงานต่างด้าวก็น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่จะเปลี่ยนแปลงก็คือ แรงงานคนไทยที่มีความรู้ความสามารถนี่สิ จะไปทำงานต่างประเทศกันเยอะถ้าประเทศนั้นๆให้เงินดีกว่า ในปี 2558 ที่สมควรระวังก็คือ ประเทศไทยเราจะเกิดภาวะที่เรียกว่า สมองไหล

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

“เพียงกระดาษแผ่นเดียว!”




ผมเคยอ่านบทความบทหนึ่ง ที่เขียนเกี่ยวกับวุฒิการศึกษา (กระดาษแผ่นเดียว) ว่าในสมัยประมาณ พ.. 2500 กว่าๆ ไม่เคยมี ดารานักแสดง นักหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่การประกวดนางสาวไทย ก็ไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา ใบปริญญาแต่อย่างใด แต่มาสมัยนี้ ถือเอาใบปริญญาเป็นเกณฑ์ในการรับสมัครคนเข้าทำงาน เป็นเกณฑ์ในการคิดฐานเงินเดือน ทำให้ผู้ที่ไม่มีใบปริญญา แต่มีความสามารถ มีความขยัน ต้องถูกผลักดันไปทำอาชีพอื่นๆ

แต่ความสามารถ ความขยัน โดยที่ไม่ต้องมีใบปริญญานั้น ทำให้บุคคลเหล่านี้ ประกอบอาชีพค้าขาย จนร่ำรวย แล้วหันมาเปิดบริษัท รับสมัครผู้มีวุฒิปริญญาเข้าทำงาน  ดังนี้แล้วชี้ให้เห็นว่า วุฒิปริญญา(กระดาษแผ่นเดียว) ตัดสินคนไม่ได้ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือไม่ 

สำหรับนักเรียน นักศึกษา ผู้ที่มีโอกาสล่าใบปริญญา เกียรตินิมและเกรดเฉลี่ย ไม่สามารถวัดความสำเร็จของชีวิตได้ ตำราชีวิตหรือประสบการณ์ชีวิตจริงที่เราต้องเจอ เพื่อนๆ มิตรภาพ ที่ผ่านมาในชีวิตระหว่างการเดินทางเพื่อไปรับใบปริญญา มันจะเป็นตัวแปลสำคัญทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต

ผู้ที่ไม่มีโอกาสที่จะได้เรียน ได้ศึกษาในระดับปริญญา หรือวุฒิใดๆก็แล้วแต่ อันเนื่องมาด้วยปัจจัยทางการเงิน หรือเหตุผลอื่นใด อย่าหมดหวังกับชีวิต เพราะโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะแต่ผู้ที่มีใบปริญญาเท่านั้น  แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต มีไว้ให้กับผู้ที่มีความสามารถ มีความขยัน เช่นกัน

ขอขอบคุณรูปภาพจาก

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

คุก ตาราง กับสังคมไทย


คุกไม่ได้มีไว้ขังหมา ภาษาบ้านๆเหมือนเพลงๆหนึ่ง คุกมีไว้ขังคน ขังผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย  ทำไมคนไทยถึงทำผิดกฎหมายกันเยอะ และหลายๆคนที่ทำผิดกฎหมายเข้าคุกไป ออกมาก็ทำแบบเดิม เข้าไป แล้วก็ออกมา เหมือนเดิมๆ 

เหตุผล หรือเป็นเพราะว่ากฎหมายบทลงโทษน้อยไป หรือเพราะว่าเข้าไปอยู่ในคุกแล้วสบาย ไม่ลำบาก ทำให้คนที่เข้าไปในคุกไม่เข็ดหลาบ 

สำหรับผมคิดว่า กฎหมายสมควรมีการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงใหม่ ให้ทันยุคทันสมัย หากผู้คนยังทำผิดกฎหมายใดๆ ซ้ำๆ ก็ควรเพิ่มบทลงโทษ และกระทำโดยเด็ดขาด  และสถานที่กักขัง หรือคุก ที่ขังนักโทษนั้น มีการปฏิบัติอย่างไร มีการรับสินบน เพื่อให้นักโทษที่มีเงิน ได้อยู่สุขสบายหรือไม่อย่างไร ต้องมีความโปร่งใส  ส่วนใหญ่เมื่อมีการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ก็จบกระบวนการ แต่จริงๆแล้ว กระบวนยังต่อเนื่องอยู่ คือมีการคุมขัง และการคุมขังต้องให้นักโทษได้รับการเข็ดหลาบ ไม่กล้ากระทำผิดอีก หรือมีกระบวนการทำให้นักโทษเกิดความสำนึก ไม่กระทำผิดอีก หากในคุกไม่เข้มงวด ปล่อยปละละเลย มีการรับสินบน ปล่อยให้มีการค้าขายยาเสพติดได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง สบายกับนักค้ายา เพระไม่ต้องมาเสี่ยงกับตำรวจ ผมว่าถึงเวลาสังคมไทย ต้องหันไปดูสถานที่คุมขังนักโทษกันบ้างแล้ว ว่ามีมาตราการที่รัดกุม โปร่งใส มากแค่ไหน

ขอขอบคุณรูปภาพจาก  http://www.thaigoodview.com/node/18063?page=0%2C16